บททดสอบก่อนเข้าสู่...รั้วมหาลัย ยัย ยัย!!!!!!

MA-HA-LAI+IS-LAM
สลามน่ะค่ะ ตอนนี้ดิฉันก็จบม.6 แล้ว ก็อัลฮัมดุลิลลาฮฺในความสำเร็จครั้งนี้ สิ่งที่ดิฉันต้องทำต่อไปนั้นก็คือ การก้าวขึ้นสู่..รั้วมหาลัย แต่ตอนนี้อัลลอฮฺก็ทรงประทานมหาลัยที่ดีที่สุดแก่ดิฉันแล้ว ดิฉันตัดสินใจแล้วว่าดิฉันจะเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยอิสลามวิทยาเขตปัตตานี คณะไอทีค่ะ ทีแรกก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียนที่นี้ แต่ด้วยเหตุผลในหลายๆ ด้านที่ทำให้ดิฉันตัดสินใจเรียนต่อที่นี้ แต่เหตุผลหลักที่ทำให้ดิฉันตัดสินใจเรียนที่นี้นั้นก็คือ มีคนรู้จักหลายคนที่เรียนที่นี้ พูดง่ายๆก็เรียน “ตามเพื่อน” 555++ แต่ที่เลือกคณะไอทีเพราะชอบด้านนี้จึงเลือกที่จะเรียนที่นี้และคณะนี้ค่ะ..จบ
เฮ้ย...ยังไม่จบ สำหรับวันนี้ดิฉันก็จะมาเล่าเหตุการณ์วันที่ไปสอบวัดความรู้ให้ได้ฟังกันน่ะค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์ แก่น้องๆ ที่จะสอบในปีถัดๆไปค่ะ
ค่ะ...งานนี้มีทั้งข้อสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ยิ่งคณะไอทีด้วยแล้ว ข้อสอบก็ไม่พ้นภาษาอังกฤษแน่นอน
....สำหรับข้อสอบข้อเขียนก็ไม่ได้หนักใจเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะมันเป็นข้อสอบข้อเขียน ไม่ต้องไปประจารณ์ความไม่รู้เรื่องให้ใครรับรู้ซักเท่าไหร่ เวลาที่อ่านข้อสอบไม่รู้เรื่องก็เก๊กท่าอวดฉลาดไว้ก่อน แล้วก็ใช้วิธีการเดาแบบที่เคยทำมา(ประจำ) แต่อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ที่ข้อสอบของเค้าไม่ค่อยยากเท่าไหร่ ทำให้ไม่ต้องพึ่งวิธีการเดาแบบมั่วๆเลย เดาแบบใช้ความรู้ล้วนๆ แต่ก็อาจจะมีความรู้ที่เพี้ยนผสมไปบ้างก็เป็นเรื่องปรกติน่ะค่ะ แต่ก็ผ่านไปด้วยดี คราวนี้มาถึงการสอบสัมภาษณ์ต่อ ดิฉันไม่รู้น่ะค่ะว่าคนอื่นเค้ามีความรู้สึกยังงัยแต่สำหรับดิฉัน บอกได้คำเดียวเลยว่าตื่นเต้นสุดๆ งั้นจะเล่าเหตุการณ์ตอนสอบสัมภาษณ์ให้ฟังน่ะค่ะ เริ่มจากที่ก้าวขาเข้าสู่ห้องสอบสัมภาษณ์ บรรยากาศวังเวง เหมือนกับจะเข้าห้องผ่าตัดยังงัยยังงั้นเลย5555++ เริ่มแรกก็เลื่อนประตูเปิดก่อนแล้วให้สลาม ในห้องนั้นมีอาจารย์อยู่สามคนหญิงสองชายหนึ่ง อาจารย์ผู้ชายเป็นอาจารย์เก่าจากโรงเรียนพัฒนานี่แหล่ะค่ะ ท่านชื่อว่า "อาจารย์สะอาด" เข้าไปในห้องปุ๊ปเค้าก็ให้เรานั่งลง แล้วเค้าก็พูดเป็นภาษาอังกฤษให้เราแนะนำตัว ดิฉันด้วยความที่ตื่นเต้นเกินเหตุ สิ่งที่ท่องมาดันมาลืมซ่ะงั้น(เป็นความประสงค์ของอัลลอฮฺ) เลยเอาแค่ที่จำได้(แบบว่ายึดหลักพอเพียงงัย) ต่อมาพอเราเล่าเรื่องเราจบ ก็เป็นทีเค้าถามต่อ อ้อ..ลืมบอก ก่อนที่ดิฉันจะเข้าไปสอบ เพื่อนที่เข้าไปก่อนยอบอกว่า ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งที่ยอถามก็ให้หันไปมองหน้าคนที่นั่งตรงกลาง แล้วคนที่นั่งตรงกลางจะรู้เองว่าเราไม่เข้าใจแล้วเค้าจะช่วยแปลให้ พอดิฉันฟังคำถามซึ่งเค้าจะถามเป็นภาษาอังกฤษ และพูดเร็วมาก บอกตามตรงเลยน่ะค่ะ ทั้งประโยคที่เค้าพูด เข้าใจความหมายไม่ถึง 5 คำเลย เมื่อฟังคำถามจบ ทำให้ดิฉันนึกถึงคำที่เพื่อนบอกก่อนเข้าห้องสอบ ว่าถ้าไม่รู้เรื่องให้หันมาทางคนกลาง ดิฉันก็เลยหันไปมองคนกลาง เชื่อไม่ค่ะ มันไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ เพราะเมื่อดิฉันหันไปมองคนกลาง ยอก็มองดิฉันโดยไม่ได้พูดอะไรซักคำเลย ประเภทที่ว่า “ต่างคนต่างพูดไม่ออกได้แต่มองตาเท่านั้น.....” แต่ในที่สุดดิฉันก็ตัดสินใจใช้วิธีการพูดแบบไม่อ้อมค้อม(พูดตรงๆ) ว่า “คือ...หนูฟังไม่รู้เรื่องค่ะ” แป๊ว ววว...หน้าอายมากเลยใช่มั้ยค่ะ ค่ะ..แต่ความอายก็ยังไม่สิ้นสุด เพราะเมื่อเค้าแปลให้ ดิฉันก็ดันพูดเป็นภาษาอังกฤษไม่ออกซ่ะงั้น เลยยอมอายอีกรอบพร้อมกับเก๊กท่าทำหน้าตายสุดขีดและบอกเค้าไปว่า “หนูขอตอบเป็นภาษาไทยได้มั้ยค่ะ” แป๊ววววว(รอบสอง) แต่ในที่สุดทุกอย่างก็(เกือบ)ผ่านพ้นไปด้วยดี เห็นมั้ยค่ะ!! ในความตื้นเต้นก็ยังแฝงความสนุกและความอายด้วย สงสัยไปสอบรอบหน้าควรเตรียมตัวให้มากกว่านี้แล้วหล่ะ จะได้ไม่ต้องหาเรื่องหน้าอายใส่ตัวอีก5555++
..ค่ะ...สำหรับใครที่เคยมีประสบการณ์การสอบสัมภาษณ์สนุกๆ ก็สามารถเล่าสู่กันฟังได้น่ะค่ะ ส่วนคนที่ยังไม่เคยเจอการสอบสัมภาษณ์นั้นก็ไม่ต้องกลัวไปน่ะค่ะ เตรียมตัวให้พร้อมก่อนสอบ อย่าตื่นเต้น มั่นใจในตัวเอง(ซึ่งผู้เขียนไม่สามารถทำได้เลยซักข้อ) แล้วทุกอย่างจะดีเอง อย่าลืมน่ะค่ะ "ไม่ลองไม่รู้
"
วัสลามค่ะ
*_*
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

1 ความคิดเห็น:



ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คนกลางนี้ อ.สาอาดสินะ
เเหม...อ.ก็ไม่เข้าข้างศิษย์อดีต์สำนักเดียวกานเรยย เน๊อะ~~

แสดงความคิดเห็น

มีอะไรจะติชม เชิญค่ะ